วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

บทบาทของเตียวเสี้ยนในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์


( บทบาทของเตียวเสี้ยนในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ )

   มีข้อกังขามากมายเกี่ยวกับเตียวเสี้ยน 1 ในยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีนที่มีบทบาทในทางวรรณกรรมสามก๊กเป็นอย่างมากที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำให้ตั๋งโต๊ะต้องสิ้นอำนาจไปจากบทบาทของเตียวเสี้ยนแต่นั่นก็คือบทบาทในทางวรรณกรรมและในประวัติศาสตร์จริงๆเตียวเสี้ยนนั้นมีบทบาทอย่างไรและมีจริงหรือไม่วันนี้เราจะมาหาคำตอบด้วยกันครับ

1. อัตชีวประวัติของเตียวเสี้ยน

   ตามวรรณกรรมสามก๊กเตียวเสี้ยนเป็น '' คีติกา '' คือนักร้องสาวในบ้านอ้องอุ้นและเป็นสาวงามที่อ้องอุ้นใช้เป็นอุบายหญิงงามในการล้มล้างตั๋งโต๊ะ เตียวเสี้ยนนั้นมีสมญานามว่า '' จันทร์หลบโฉมสุดา '' และก็ถือว่าในประวัติศาสตร์จีนเตียวเสี้ยนเป็น 1 ใน 4 ของยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีนอีกด้วย

2. บทบาทของเตียวเสี้ยนด้วยปลายพู่กันของหลอก้วนจงในวรรณกรรมสามก๊ก

   บทบาทของเตียวเสี้ยนในปลายพู่กันของหลอก้วนจงนั้นได้วางบทบาทของเตียวเสี้ยนไว้เป็นตัวแปรสำคัญของแผนหญิงงามที่ต้องการยุให้ลิโป้และตั๋งโต๊ะต้องแตกคอกันแล้วยืมมือของลิโป้ให้ฆ่าตั๋งโต๊ะในการวางบทบาทของเตียวเสี้ยนนั้นได้วางให้ตั๋งโต๊ะมาลอบเป็นชู้กับเตียวเสี้ยนเพื่อให้ลิโป้เกิดความหึงหวงและให้ลิโป้ได้เล่นบทรักในนิยายได้อย่างกินใจผู้อ่านเป็นอย่างมากและอาจจะเรียกได้ว่าเตียวเสี้ยนในปลายพู่กันของหลอก้วนจงในการเล่นบทรักกับลิโป้และบทเป็นชู้ของตั๋งโต๊ะนั้นได้มีความกลมกล่อมเป็นอย่างมากจนนำมาซึ่งตอนที่ประทับใจคนอ่านสามก๊กฉบับนิยายได้อย่างกลมกลืนจริงๆ

3. เตียวเสี้ยนกับข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ ?

   เรื่องราวของเตียวเสี้ยนในทางประวัติศาสตร์นั้นยังมีข้อสรุปที่ไม่แน่ชัดนักวิชาการหลายๆท่านก็ได้สรุปและมีความเห็นที่ไม่ตรงกันซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้น ผู้เขียนจะสรุปข้อเท็จจริงทั้งสองฝั่งเพื่อเป็นข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ที่แต่ละฝั่งต่างก็มีหลักฐานมาอ้างอิงกันให้ได้อ่านและศึกษาร่วมกันนะครับ

( ข้อสันนิษฐานว่าเตียวเสี้ยนมีจริง ) 

- ได้มีผู้ค้นพบเค้าเงื่อนในหนังสือฮั่น - ซูทงจื้อ ( บันทึกเรื่องราชวงศ์ฮั่น ) ว่า '' เมื่อโจโฉยังไม่ได้เป็นใหญ่ ได้ชักจูงตั๋งโต๊ะให้ถวายเตียวเสี้ยนเพื่อทำให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ลุ่มหลง
- เลียง เสถียรสุต พบข้อมูลในเรื่องอ่านเล่นเรื่องหนึ่งของจีนว่า ในระหว่างที่โจโฉตั้งกองทัพปราบโจร ได้ไปหาตั๋งโต๊ะและยกผู้หยิงคนหนึ่งชื่อเตียวเสี้ยนให้
  ข้อมูลและข้อวินิจฉัยเรื่องเตียวเสี้ยนของเลียง เสถียรสุต ได้สอดคล้องกับบันทึกในฮั่นซูทงจื้อ โจโฉคงจะเป็นผู้นำหญิงผู้นี้ไปให้ตั๋งโต๊ะและแนะนำให้นำไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้อีกต่อหนึ่ง
- ยังมีตำนานที่เล่าว่า กวนอูเป็นผู้ลงมือสังหารเตียวเสี้ยนท่ามกลางแสงจันทร์ด้วยเป็นตำนานที่โด่งดังมาก

( ข้อสันนิษฐานว่าเตียวเสี้ยนไม่มีจริง )

- เรื่องราวของเตียวเสี้ยนไม่มีปรากฎอยู่ในจดหมายเหตุสามก๊กฉบับเฉินโซ่วหรือบันทึกประวัติศาสตร์อื่นๆ ในยุคนั้นเลยเท่าที่ปรากฎในจดหมายเหตุสามก๊กของเฉินโซ่วได้ระบุว่า ลิโป้มีใจเสน่หากับนางกำนัลใกล้ชิดตั๋งโต๊ะคนหนึ่งแล้วเกิดความหวาดกลัวว่าตั๋งโต๊ะจะล่วงรู้และบันดาลโทสะ
- มีทฤษฏีหนึ่งที่น่าสนใจกล่าวว่า เรื่องของเตียวเสี้ยนแท้จริงอาจหมายถึง '' นางตู้สี '' ภรรยาของฉินอี๋ลู่ซึ่งเป็นลูกน้องของลิโป้ เรื่องราวนี้มีปรากฎในจดหมายเหตุสามก๊กบทประวัติกวนอู ซึ่งเผยซงจือได้อ้างอิงจากบันทึกฝ่ายจ๊กก๊กว่า ในระหว่างที่โจโฉกับเล่าปี่ร่วมกันปิดล้อมลิโป้ไว้ที่เมืองแห้ฝือนั้น กวนอูได้แจ้งให้โจโฉทราบว่า ลิโป้ได้ส่งฉินอี๋ลู่ออกไปนอกเมืองเพื่อไปขอทัพหนุนจากอ้วนสุดกวนอูจึงขอโจโฉว่า ถ้าตีเมืองแตกแล้วตนจะขอรับภรรยาของฉินอี๋ลู่ไว้ โจโฉก็รับปากตามนั้น
   แต่หลังจากใกล้ตีเมืองแตก กวนอูก็เข้ามาย้ำเรื่องนี้กับโจโฉอีก โจโฉรู้สึกแปลกใจว่านางตู้สีจะงดงามมาก ดังนั้นเมื่อเมืองแตก โจโฉก็ได้เห็นนางตู้สีแล้วเก็บนางไว้เอง กวนอูไม่พอใจโจโฉในเรื่องนี้มาก ดังนั้นจึงอาจเกิดความสับสนระหว่างเตียวเสี้ยนและนางตู้สี หรือเป็นที่มาของเรื่องนางเตียวเสี้ยนก็ได้ 

   ผู้เขียนมองว่าจากข้อความข้างต้นนั้นมีความคลุมเครือในเรื่องหลักฐานอ้างอิงในทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมากเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีข้อมูลในการอ้างอิงความเชื่อของตนเองแต่ก็ขอสรุปว่าเรื่องราวของเตียวเสี้ยนนั้นยังต้องมีการศึกษาและค้นคว้าต่อไปครับผม


4. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ 4 ยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีน

   4 ยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีนนั้นประกอบไปด้วย 1. ไซซี 2. หวางเจาจิน 3. เตียวเสี้ยน 4. หยางกุ้ยเฟย โดยหญิงงามทั้ง 4 คนนี้เป็นบุคคลที่สำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์จีนอย่างมากมายตัวอย่าง เช่น ไซซีนั้นเป็นหญิงงามที่อ๋องโกเจี้ยนแห่งแคว้นเย่วใช้แผนหญิงงามในการบั่นทอนแคว้นอู๋จนสุดท้ายแคว้นอู๋ก็ล่มสลายลงซึ่งประวัติศาสตร์ของแคว้นเย่วทำสงครามกับแคว้นอู่นั่นอยู่ในยุคชุนชิวและจากประวัติศาสตร์ตรงนี้จึงกลายเป็นเสมือนประวัติศาสตร์สอนใจที่โด่งดังมากๆโดยอ๋องโกวเจี้ยนยอมไปเป็นทาสให้แคว้นอู๋แต่สามารถกอบกู้บ้านเมืองจนสามารถล้มแคว้นอู๋ได้
   บทความหน้าจะเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ในยุคชุนชิวและเรื่องปรัชญาร้อยสำนักให้ได้อ่านกันนะครับ

5. ชื่อเตียวเสี้ยนมีความหมายว่าอะไร ?

- ฮั่นซู ( พงศาวดารราชวงศ์ฮั่น ) บทประวัติหลิวเซี่ยง '' กล่าวว่า ตระกูลของหวางหมั่งรุ่งเรืองสูงสุดตอนปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก มีคนแซ่หวางขี่รถล้อแดงดุมลายถึง 23 คน เตียวเสี้ยนเขียวม่วงเต็มกระโจม
- พงศาวดารสามก๊ก ภาคอู๋ซู ( เรื่องของง่อก๊ก ) บทประวัติเหวยเย่า '' ก็กล่าวถึงเหวยเย่าว่า '' เขาอาศัยความรู้อันงามทำให้ได้เป็นอาลักษณ์ประวัติศาสตร์ สวมหมวกประดับหางเตียวและเสี้ยน ( จักจั่น ) ทอง เข้าเฝ้ารับสนองพระราชปัจฉา
- พงศาวดารราชวงศ์หลิวซ่ง ( ซ่งซู ) บรรพจารีต ( หลี่จื้อ ) ยังกล่าวถึงเป็นพิเศษว่า สมัยราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์วุ่ยฮองเฮา ( พระอัครมเหสี ) จะมีสาวใช้พิเศษที่เรียกว่า '' หนี่ว์ซ่างซู '' ( เสนาบดีหญิง ) '' พวกเธอห่มหนังเตียวประดับจักจั่นทอง ( เสี้ยน ) แขวนตราหยกร่วมรถตามเสด็จเมื่อได้ตำแหน่งขุนนางย่อมได้รับพระราชทานหนังเตียวและจักจั่นทอง ( เสี้ยน ) ประดับ ซือหม่าหลุนเจ้าองค์หนึ่งในจลาจลแปดอ๋อง เมื่อได้อำนาจแล้วปูนบำเหน็จลูกน้องตนอย่างใหญ่หลวง '' กระทั่งข้าทาสก็ให้มียศศักดิ์ '' ทำให้เวลาออกราชการ มีผู้ประดับหางเตียวและเสี้ยนทองเต็มไปหมด คนยุคนั้นจึงมีคำกล่าวว่า '' หางเตียวไม่พอ ต่อด้วยหางหมา '' เป็นเรื่องขำขันอยู่ในประวัติศาสตร์

เตียวฉานกวาน (貂蟬冠)  หรือ หมวกเตียวเสี้ยน (Sable Cicada Hat) 
ติวเตอร์บูม  เขียนและค้นคว้า

( อ้างอิง )
- ยศไกร ส.ตันสกุล. ( 2560 ). สารพันคำถามเรื่องจริงหรือแต่งเสริมในจดหมายเหตุสามก๊กฉบับเฉินโซ่ว.กรุงเทพฯ:สยามความรู้
- ถาวร สิกขโกศล. ( 2551 ). สี่ยอดหญิงงามผู้พลิกประวัติศาสตร์จีน.กรุงเทพฯ:สร้างสรรค์บุ๊คส์
- หลี่ฉวนจวินและคณะเขียน,ถาวร สิกขโกศล แปล.  ( 2556 ). 101 คำถามสามก๊ก. กรุงเทพมหานคร:มติชน
- รูปภาพหมวกเตียวเสี้ยนจาก http://www.samkok911.com/2013/03/Real-name-of-Diaochan.html

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วรรณกรรมสามก๊กในบทบาททางชนชั้นนำและการเมือง


( วรรณกรรมสามก๊กในบทบาททางชนชั้นนำและการเมือง )

   หากจะพูดถึงวรรณกรรมสามก๊กวึ่งเป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนในปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับกันว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกนั้นวรรณกรรมสามก๊กนี้ถึงขั้นมีผู้เปรียบเปรยไว้ว่า '' ถ้าไม่อ่านสามก๊กอย่าริทำการใหญ่ '' จริงแท้แค่ไหนวันนี้จะมาหาคำตอบกันถึงบริบทของวรรณกรรมสามก๊กที่มีต่อชนชั้นนำและในมิติทางการเมือง

1. พื้นหลังประวัติศาสตร์สามก๊กฉบับไหนจริงหรือเท็จ

   ผู้ที่อ่านสามก๊กหรือติดตามในซีรี่ส์หนังจีนในหลายๆเวอร์ชั่นนั้นหลายคนคงยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้ววรรณกรรมสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) นั้นเป็นวรรณกรรมที่แปลขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกเรื่องหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้

   แต่ถึงกระนั้นวรรณกรรมสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) นั้นก็มีความไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรจนมีการแปลออกมาในหลายเวอร์ชั่นจนถึงปัจจุบันแต่วันนี้ผมจะเขียนให้ผู้อ่านได้ทราบกันว่าจริงๆ แล้วสามก๊กกว่าจะมาเป็นวรรณกรรมจนถึงปัจจุบันนั้นจะต้องผ่านอะไรบ้างและสามก๊กฉบับไหนที่สามารถนำมาอ้างอิงในทางประวัติศาสตร์ได้และสามก๊กฉบับไหนที่เป็นเรื่องเท็จ 70 เปอร์เซ็นต์

- วรรณกรรมสามก๊กที่เป็นฉบับสมบูรณ์เล่มแรก คือ '' ซานกั๋วจื้อผิงหั้ว ''
- วรรณกรรมสามก๊กฉบับหลอก้วนจงเสริมเติมแต่งจากฉบับสมบูรณ์ คือ '' ซานกั๋วจื้อทงสูเหยี่ยนอี้ ''
- วรรณกรรมสามก๊กที่เหมาหลุนและเหมาจงกังปรับปรุงจากฉบับหลอก้วนจง คือ '' ซานกั๋วเหยี่ยนอี้ ''
   สามก๊ก ฉบับ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้นั้นเป็นสามกีกฉบับที่รัชกาลที่ 1 ให้เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) ทรงชำระและแปลเป็นภาษาไทยซึ่งในสมัยนั้นรัชกาลที่ 1 มีพระราชดำรัสให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทย 2 เรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่นกับสามก๊ก
- วรรณกรรมสามก๊ก ฉบับ นิทานชาวบ้าน คือ '' ซานกั๋วจื้อผิงหั้ว ''
- สามก๊กฉบับแรกสุดของโลกที่ประพันธ์โดย ตันซิ่วหรือเฉินโซ่ว คือ '' สามก๊กจี่ ( ซานกั๋วจื้อ ) ''
  สามก๊กจี่ถือได้ว่าเป็นพงศาวดารสามก๊กที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดและสามารถนำมาอ้างอิงในทางประวัติศาสตร์ได้

2. บทบาทของผู้นำในสามก๊กกับมิติทางการเมือง

   ในยุคต้นของสามก๊กนั้นขุนศึกในแต่ละหัวเมืองต่างแย่งชิงอำนาจและตั้งตนขึ้นมาเป็นใหญ่อันเนื่องมาจากความอ่อนแอของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจึงเป็นที่มาของความเสื่อมโทรมของราชสำนักจึงทำให้ขุนศึกแต่ละเมืองต่างขึ้นมาเป็นใหญ่และทำสงครามเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์จนต่อมาก็เหลือแค่สามก๊กใหญ่นั่นคือ วุยก๊ก ( โจโฉ ) จ๊กก๊ก ( เล่าปี่ ) ง่อก๊ก ( ซุนกวน ) โดยบุคคลทั้ง 3 นี้ถือได้ว่าเป็นยอดผู้นำในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊กที่มีความสามารถเป็นอย่างมากและก็ต่างมีบทบาทในการเฉือนคมทางการเมืองกันค่อนข้างที่มีเอกลักษณ์โดยผู้นำแต่ละคนต่างมีลักษระเฉพาะในทางการเมืองทั้งโจโฉ เล่าปี่และซุนกวน

2.1 อัตชีวประวัติของโจโฉ

   โจโฉ ชื่อรองว่า เม่งเต๊ก เขาเป็นบุตรชายของโจโก๋ เกิดเมื่อปี ค.ศ.155 เมื่อวัยเยาว์โดนเรียกจากครอบครัวว่า ‘’อาหม่าน‘’
เดิมทีแล้วบิดาโจโก๋เป็นคนในสกุลแฮหัวซึ่งเป็นสกุลที่สืบทอดเชื้อสายมาจากยอดขุนพลแฮหัวอิ๋นในต้นยุคราชวงศ์ฮั่นเป็นสกุลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ดังนั้นโจโฉกับคนสกุลแฮหัวจึงเป็นยาติสนิทใกล้ชิดกัน ต่อมาขันทีใหญ่โจเต็งได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมจึงทำให้โจโฉกลายเป็นหลานชายของขันทีใหญ่ไปโดยปริยาย

   ในบั้นปลายชีวิตนั้นโจโฉมีตำแหน่งสูงสุดเมื่อมีชีวิต คือ วุยอ๋อง ในภายหลังบุตรชายของโจโฉ คือ โจผีได้ปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้และได้สถาปนาราชวงศ์วุยขึ้นแล้ว ก็ได้ถวายสมัญญานามย้อนหลังให้โจโฉผู้เป็นบิดาให้เป็น ‘’ พระเจ้าวุยบู๊เต้ ‘’

ซ้ายเทียหยกขวาโจโฉภาพจากซีรี่ส์สามก๊ก 2010
ภาพโจโฉจากซีรี่ส์สามก๊ก 1994
2.2 คมการเมืองของโจโฉ

   โจโฉนอกจากจะเป้นนักการทหารที่เจนจัดในพิชัยสงครามแล้วคมทางการเมืองของโจโฉก็ไม่ได้ด้อยเลยซึ่งจะขอยกเหตุการณ์ในหลายๆเหตุการณ์มาอธิบายถึงความมีศิลปะทางการเมืองของโจโฉมาให้ศึกษากันครับ

- โจโฉยืมดาบฆ่าตั๋งโต๊ะ

   ต้องขอกล่าวก่อนว่าเหตุการณ์ที่โจโฉยืมดาบสั้นจากอ้องอุ้นมาฆ่าตั๋งโต๊ะนั้นเป็นเพียงวรรณกรรมที่ถูกแต่งขึ้นโดยหลอก้วนจงซึ่งในวรรณกรรมสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง( หน ) ก็ได้แปลจากจากต้นฉบับของหลอก้วนจงแต่จากการแต่งเติมนี้จึงทำให้วรรณกรรมสามก๊กมีสีสันและน่าติดตามอีกทั้งการแต่งเติมนี้จึงทำให้โจโฉกลายเป็นบุคคลที่สามารถพลิกแพลงตามโอกาส เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนจากตายให้กลายเป็นรอดตายได้

- อยากเป็นใหญ่ต้องอย่าถือแค้นเก่า

   ในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นในช่วงที่โจฉกำลังรวบรวมกองทัพใหม่ๆและต้องการคนเก่งที่มีความสามารถโดยไม่ได้สนใจว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลวขอเพียงให้สามารถทำงานที่มอบหมายให้ดีที่สุดก็พอซึ่งการบริหารงานแบบนี้ก็เหมือนกับคำที่ว่า ‘’ ไม่สนใจว่าจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำขอให้จับหนูได้ก็พอ ‘’ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็จะมี 3 เหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นหลักคิดในการบริหารและคมทางการเมืองของโจโฉได้ว่าโจโฉ คือ นักบริหารที่มีความใจกว้างและการเปิดรับคนเก่งมีความสามารถอย่างแท้จริง 

- โจโฉรับเตียวสิ้ว

   เตียวสิ้วได้ทำการฆ่าโจงั่งลูกชายคนโตของโจโฉและโจอันบิ๋นหลานชายและรวมไปถึงเตียนอุยยอดขุนพลทหารเสือของโจโฉตายในการรบที่อ้วนเซียจากเหตุการณ์ครั้งนั้นในช่วงเวลาที่เตียวสิ้วไปอ่อนน้อมกับโจโฉ โจโฉก็ไม่ถือโทษโกรธเคือง ในเรื่องเก่าๆอีกทั้งโจโฉยังตั้งให้เตียวสิ้วเป็นขุนพลหยางอู อีกด้วย 

3. อัตชีวประวัติของเล่าปี่
   
   เล่าปี่ ชื่อรอง เหี้ยนเต็ก เกิดปี ค.ศ.161 เป็นชาวอิ๋ว เมืองจังโจว มณฑลฮ่อปัก ( เหอเป่ย ) เชื่อว่าเล่าปี่เป็นผู้สืบทอดสายเลือดมาจาก เล่าเจิ้น บุตรชายของจงซานจิ้งอ๋อง เชื้อพระวงศ์ชั้นติ้งโหว ผู้ครองเมืองตุ้นกวน แต่เมื่อมาถึงรุ่นลูกก็เริ่มตกต่ำลงโดนราชสำนักปลดออกจากตำแหน่ง ต้องใช้ชีวิตยากไร้ดุจสามัญชนเมื่อบิดาสิ้นลง เล่าปี่จึงอยู่กับมารดาเพียงลำพัง มีอาชีพหลักคือทอเสื่อขาย
   
   ในจดหมายเหตุสามก๊กจะเรียกพระนามของเล่าปี่ว่าเจ้านายพระองค์ก่อน สาเหตุเพราะตันซิ่ว หรือ เฉินโส่ว ผู้บันทึกจดหมายเหตุ ต้องการเชิดชูยกย่องเล่าปี่เป็นพิเศษเพราะแม้ว่าตอนที่เขียนผลงานนี้ เฉินโส่วจะเป็นขุนนางของราชวงศ์จิ้นไปแล้วแต่เขาก็ถือว่าเล่าปี่เป็นอดีตเจ้านายของบิดาตน ( บิดาของเฉินโส่วคือตันเซ็ก ขุนพลของจ๊กก๊ก ) จึงไม่แปลกหากว่าในประวัติศาสตร์จะมีความโน้มเอียงที่จะยกย่องเชิดชูเล่าปี่มากกว่าโจโฉ

ภาพเล่าปี่จากซีรี่ส์สามก๊ก 2010

3.1 ภูมิปัญญาเล่าปี่
  
   เล่าปี่ใช้ชีวิตกว่าจะมาเป็นใหญ่ได้นั้นต้องพ่ายแพ้ในการศึกสงครามมาหลายต่อหลายครั้งเล่าปี่ในความคิดของผู้เขียนอาจจะเป็นนักวางแผนทางการรบที่ไม่ได้เก่งกาจที่สุดแต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งของเล่าปี่ที่สามารถทำให้เล่าปี่มาเป็นใหญ่ได้นั้น คือ ศิลปะทางการเมืองของเล่าปี่นั่นเอง เล่าปี่อาจจะไม่ใช่คนที่วางแผนหรือเจนจัดในพิชัยสงครามแต่ศิลปะในการใช้คนทำงานแทนตนนั้นถือได้ว่าระดับชั้นเซียนเพราะคนเก่งๆมากมายไม่ว่าจะขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียวและฮองตงบุคคลเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นแนวหน้าในจ๊กก๊กที่ช่วยสร้างอาณาจักรของเล่าปี่ให้เป็นปึกแผ่นโดยคนเหล่านี้ยินดีที่จะรับใช้เล่าปี่แบบถวายชีวิต ปัจจัยใดที่ทำให้เล่าปี่กลายเป็นคนที่มีชั้นเชิงทางการเมืองที่แหลมคมเช่นนี้วันนี้ผู้เขียนจะมาอธิบายให้ผู้อ่านได้คิดวิเคราะห์ตามกันครับ

- อุดมการณ์นำมาคนเก่งมารับใช้ตน
   
   ในปลายราชวงศ์ฮั่นภายในราชวงศ์ฮั่นนั้นเกิดขุนพลทั้ง 18 หัวเมืองต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่แต่ละเมืองต้องการเพียงแค่อำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนซึ่งมีส่วนน้อยที่จะทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริงหนึ่งในนั้นก็มีเล่าปี่ชายผู้ที่มีอุดมการณ์ที่ต้องการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นในช่วงต้นๆนั้นเล่าปี่ได้ระเหเร่ร่อนไปพึ่งพิงจากคนอื่นๆหลายต่อหลายคนไม่ว่าจะเป็นกองซุนจ้าน โจโฉและเล่าเปียวแต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เล่าปี่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วแผ่นดินจีนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ที่เล่าปี่มาอยู่กับโจโฉในชั่วขณะหนึ่งและได้พบพระเจ้าเหี้ยนเต้จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระปิตุลา 
( พระเจ้าอา ) จากเหตุการณ์ในตอนนี้จึงทำให้ประชาชนหลายต่อหลายคนได้ยินชื่อเสียงของเล่าปี่และเป็นที่ยอมรับในเวลาต่อมาอีกทั้งจากจดหมายเลือดที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ส่งไปถึงเล่าปี่ด้วยนั้นจึงทำให้เล่าปี่ได้ประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามกับโจโฉในช่วงเวลาต่อมาอีกด้วย

- เยือนกระท่อมขงเบ้ง 3 ครั้ง 3 ครา
   
   การเยือนกระท่อมของเล่าปี่เพื่อไปเชิญขงเบ้งมารับใช้ตนนั้นถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดพลิกผันของชีวิตของเล่าปี่เลยก็ว่าได้เล่าปี่ถือได้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และการที่เล่าปี่ใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตนโดยไม่ถือยศและเกียรตินั้นย่อมถือได้ว่าเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้ขงเบ้งยอดคนแห่งสามก๊กยินยอมที่จะออกจากกระท่อมที่โงลังกั๋งแล้วมารับใช้ยอดผู้นำอย่างเล่าปี่ในเวลาต่อมา จิตวิทยาอ่อนน้อมถ่อมตนของเล่าปี่นั้นถือได้ว่าสามารถสะกดใจแก่ผู้ที่เล่าปี่หมายปองจะให้มารับใช้ตนได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ บุคคลที่ดดนเล่าปี่ใช้จิตวิทยาแบบนี้ก็ เช่น ชีซี,ฮองตง เป็นต้น

3. อัตชีวประวัติของซุนกวน
  
   ซุนกวน ชื่อรอง ตงเหมา เกิดปี ค.ศ.182 เป็นบุตรชายคนรองของซุนเกี๋ยนกับนางง่อฮูหยิน มีพี่ชายคือซุนเซ็กซึ่งเป็นขุนศึกชื่อดังของดินแดนกังตั๋ง ต่อมาซุนเซ็กได้เป็นผู้ทำศึกขยายดินแดนและสร้างรากฐานให้แคว้นง่อก๊กจนสามารถเข้ามามีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนกังตั๋งซึ่งเป็นดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนได้อย่างเข้มแข็ง แล้วกลายเป็นแดนปราการที่ไม่มีใครสามารถตีแตกได้เลยจนกระทั่งยืนหยัดอยู่เป็นอาณษจักรสุดท้ายในยุคสมัยสามก๊ก

ภาพซุนกวนจากซีรี่ส์สามก๊ก 2010

  3.1 คมการเมืองของซุนกวน
   
   ซุนกวนผู้นำรุ่นใหม่แห่งสามก๊กที่มีคมความคิดทางการเมืองที่ไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่งในประเด็นนี้จะขอยกถึงภูมิปัญญาทางการเมืองของซุนกวนที่ทำให้ซุนกวนสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างชาญฉลาดและจะมีเหตุการณ์ใดบ้างที่แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของซุนกวนวันนี้ผู้เขียนจะมาวิเคราะห์ให้ผู้อ่านได้ศึกษาร่วมกันครับ

- ยอมอ่อนเพื่อรอด
   
   เหตุการณ์นี้เป็นช่วงเวลาที่หลังจากกวนอูตายและง่อก๊กก็ได้เมืองเกงจิ๋วมาครองจนทำให้เล่าปี่ผู้พี่ร่วมสาบานถึงกับโกรธแค้นง่อก๊กจนจะยกทัพไปถล่มง่อก๊กให้สิ้นซากแต่คมความคิดของซุนกวนในการเอาตัวรอดในเรื่องนี้มีรายละเอียดว่า ‘’ ซุนกวนยอมก้มหัวเสนอหนังสือสงบศึกต่อเล่าปี่ก่อนและได้โอนอ่อนต่อเล่าปี่ในเรื่องสำคัญๆ หลายประการ เช่น ยอมส่งซุนฮูหยินกับเซงโต๋ จับตัวบิฮองกับเปาซูหยินซึ่งเป็นผู้สังหารเตียวหุยมัดส่งไปให้และก็มอบเมืองเกงจิ๋วคืนแก่จ๊กก๊กดังเดิมและขอเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ดังเดิม ‘’ แผนการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาของซุนกวนที่ชาญฉลาดถึงแม้ว่าการเจรจาจะล้มเหลวก็ตามแต่ก็ถือได้ว่าเป็นศิลปะทางการเมืองของซุนกวนที่ต้องการเลี่ยงสงครามในขณะนั้นเพราะว่าวุยก๊กของโจผีนั้นตัวโจผีเพิ่งจะครองราชย์ได้ไม่นานและซุนกวนก็ไม่ต้องการให้วุยก๊กจับมือกับจ๊กก๊กเพื่อมาถล่มง่อก๊กของซุนกวนในการเจรจายอมอ่อนต่อจ๊กก๊กถึงแม้ว่าจะล้มเหลวแต่การเจรจาอ่อนน้อมต่อวุยก๊กกลับประสบความสำเร็จโดยมีเนื้อหา ดังนี้ ‘’ เมื่อการเสนอขอสงบศึกต่อเล่าปี่ถูกปฏิเสธ ซุนกวนเห็นว่าสงครามระหว่างจ๊กก๊กกับง่อก๊กมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้แล้วก็รีบจัดการมีหนังสือถึงโจผี ยอมอ่อนน้อมเป็นข้าราชการบริพาร ยื่นมือไปขอความช่วยเหลือจากโจผี ต่อมาโจผีก็เลยส่งฑูตมายังง่อก๊ก แต่งตั้งซุนกวนให้เป็นเง่ออ๋องมีเครื่องยศ 9 อย่าง ‘’ ในการย่อมอ่อนน้อมของซุนกวนต่อวุยก๊กนี้คือการเจรจาขอความช่วยเหลือจากวุยก๊กซึ่งถือว่าเป็นการประกันความเสี่ยงที่วุยก๊กจะไม่มาบุกง่อก๊กเพราะซุนกวนคิดไว้แล้วว่าการจำกัดพื้นที่ของสงครามต้องเป็นแค่ง่อก๊กกับจ๊กก๊กเท่านั้นจะไม่มีวุยก๊กเข้ามาเป็นพันธมิตรกับจ๊กก๊กเป็นอันขาด
      
     - ศิลปะทางการฑูตกับเมืองเกงจิ๋ว
   
   เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วแล้วไม่ยอมคืนจนทำให้ซุนกวนโมโหจึงให้ลิบองนำกำลังไปทวงคืนโดยสภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นโจโฉได้ปราบเตียวฬ่อแห่งฮันต๋ง ซุนกวนได้ชักชวนเล่าปี่ให้เข้ายึดเอ๊กจิ๋วด้วยกันแต่เล่าปี่ปฏิเสธเพราะหวังจะยึดเอ๊กจิ๋วไว้คนเดียวซุนกวนโกรธมากจึงส่งขุนนางไปผลัดมือรับตำแหน่งราชการแทนที่เมืองเตียงสา เลงเหลงและฮุยเอี๋ยง ทั้งสามเมืองแห่งเกงจิ๋วแต่กลับถูกกวนอูขับไล่ออกมา ซุนกวนโมโหมากจึงส่งลิบองนำกำลังไปทวงคืนเกงจิ๋วลิบองใช้วิธีทางการฑูตในการเจรจาจนเป้นที่มาของกวนอูที่ได้บุกน้ำข้ามทะเลเพื่อมาเจรจากับโลซกตามที่วรรณกรรมได้เขียนไว้อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนั้นเล่าปี่ไม่ได้อยากทำสงครามกับง่อก๊กด้วยเพราะกำลังติดศึกกับโจโฉที่เมืองฮันต๋งอยู่ ฉะนั้น การประณีประนอมและยอมยกสามเมืองของเกงจ๋วให้ซุนกวนเพื่อสงบศึกในแดนนี้ คือ สิ่งที่เล่าปี่จะต้องยอมรับซึ่งซุนกวนก็อ่านเกมส์ทางการเมืองนี้ได้เฉียบขาดจนสามารถได้สามเมืองของเกงจิ๋วมาครองได้สำเร็จโดยที่ไม่ต้องเสียทหารแม้แต่นายเดียว
      
     ( ศิลปะทางการบริหารง่อก๊กของซุนกวน )
   
   ซุนกวนถือได้ว่าเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สามก๊กในการบริหารง่อก๊กนั้นซุนกวนจะต้องอาศัยคนเก่งอย่างมากมายในการช่วยกันสร้างบ้านสร้างเมืองซุ่งหลักการบริหารง่อก๊กของซุนกวนนั้นมี ดังนี้
    
     -  วัดคนที่ความสามารถ ไม่ถือรุ่น ไม่ถืออายุ
   
   ซุนกวนได้แต่งตั้งให้จิวยี่ซึ่งมีอายุเพียง 34 ปีขึ้นเป็นจอมทัพในการบัญชาการรบต้านโจโฉในสึกเซ็กเพ็กจนทำให้ขุนพลอย่างเทียเถาที่อยู่มานานไม่พอใจแต่ผลสุดท้ายในศึกเซ็กเพ็กนี้ก็เป็นชัยชนะของง่อก๊ก นี่จึงอาจจะสรุปได้ว่าศิลปะในการใช้คนของซุนกวนและการบริหารคนเก่งคนซุนกวนนั้นถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวดั่งคำกล่าวของซุนเซ็กพี่ชายซุนกวนเคยได้กล่าวไว้ว่า ‘’ ถ้าระแวงก็อย่าใช้ถ้าจะใช้ก็อย่าระแวง ‘’

     -  รู้จุดเด่นจุดด้อยของลูกน้องและส่งเสริมการพัฒนาตนเอง

   ลิบองขุนพลเอกของซุนกวนเกิดในครอบครัวที่ยากจนแต่มีผลงานต่างๆอย่างมากมายแต่เพราะว่าซุนกวนอยากให้ลิบองได้รับการพัฒนาตนเองจึงส่งเสริมให้ลิบองศึกษาพิชัยสงครามและรู้ตำราจนในเวลาผ่านมาลิบองผู้ที่เป็นยอดขุนพลของซุนกวนจากผุ้ไม่รู้หนังสือแต่จากการส่งเสริมของซุนกวนจึงทำให้ลิบองมีความสามารถถึงกับวิเคราะห์สถานกาณ์บ้านเมืองร่วมกับโลซกได้จนทำให้โลซกประหลาดใจ

4. สามก๊กในบริบทของชนชั้นนำ

   โจโฉ เล่าปี่และซุนกวน คือ ตัวแทนบทบาททางการเมืองของชนชั้นนำในประวัติศาสตร์จีนยุคสามก๊กเพราะทั้งสามคนนี้คือผู้นำเหล่าปัญญาชน ประชาชนและขุนนางในแต่ละก๊กซึ่งมีอุดมการณ์ในการทำสงครามเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ที่แตกต่างกันซึ่งสามารถแบ่งการวิเคราะห์ออกได้เป็น 3 มิติทางความคิดของผู้นำแต่ละคน

4.1 โจโฉผู้นำหัวก้าวหน้า

   ในวรรณกรรมสามก๊กได้เขียนเรื่องราวของโจโฉให้เป็นผู้ร้ายแต่ในความเป็นจริงโจโฉนั้นเป็นผู้นำหัวก้าวหน้าที่เก่งกาจในเรื่องของการบริหารที่สุดคนหนึ่งในยุคสามก๊กซึ่งวิธีการที่โจโฉใช้ในการแย่งชิงความได้เปรียบทางการเมืองก็คือการใช้องค์ฮ่องเต้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและใช้ราชโองการของฮ่องเต้บัญญาการเหล่าขุนศึกทั่วแผ่นดินจีนซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการเมืองเป็นอย่างมากแต่ถึงกระนั้นวิธีการนี้ถึงจะดีเพียงใดแต่ผู้นำอนุรักษ์นิยมอย่างเล่าปี่ก็ไม่ชอบใจอย่างแน่นอนเพราะถือว่าเป็นวิธีการที่ใช้ฮ่องเต้เป็นหุ่นเชิดทางการเมืองของโจโฉเอง

4.2 เล่าปี่ผู้นำอนุรักษ์นิยม

   อุดมการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนของเล่าปี่ก็คือการค้ำจุนและกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นเพราะว่าเล่าปี่นั้นคือเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เล่าปี่จะมีความคิดที่เข้าข้างราชสำนักและสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเล่าปี่ในทางการเมืองก็คือการอ้างความชอบธรรมและคุณธรรมในการปกครองคนซึ่งถือได้ว่ามีความแตกต่างจากโจโฉอย่างสิ้นเชิง

4.3 ซุนกวนผู้นำแบบเสรีนิยม

   ซุนกวนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในยุคของสามก๊กและก็เป็นทายาทรับสมบัติจากซุนเกี๋ยนผู้เป็นพ่อให้เป็นใหญ่ในง่อก๊กต่อจากซุนเซ็กผู้พี่โดยซุนกวนนั้นเป็นผู้นำที่ดำเนินเกมส์การเมืองโดยอาศัยความเป็นจริงของสภาพการณ์ปัจจุบันซุนกวนต้องบริหารเหล่าขุนนางและแม่ทัพในง่อก๊กที่มีทั้งอายุน้อยกว่าตนและมากกว่าตนดดยไม่ถือรุ่นหรืออายุแต่ซุนกวนใช้คนตามความสามารถและให้อำนาจอย่างเต็มที่ในการบริหารกิจการบ้านเมืองตัวอย่างที่ชัดเจน คือ กรณีให้อำนาจทางการทหารแก่จิวยี่หรือการให้อำนาจแก่เตียวเจียวในการบริหารกิจการภายใน เป็นต้น

หมายเหตุ / เตียวเจียวในช่วงก่อนศึกเซ้กเพ็กนั้นเตียวเจียวคือผู้ที่สนับสนุนให้ซุนกวนยอมสวามิภักดิ์แก่โจโฉซึ่งยกทัพมาหมายที่จะยึดง่อก๊กแต่ซุนกวนคำนึงในความสามารถและความรู้ที่เตียวเจียวมีความรู้ในการบริหารภายในง่อก๊กมากที่สุดซุนกวนจึงไว้ใจให้เตียวเจียวเป็นผู้บริหารภายในง่อก๊กต่อไปในช่วงศึกสงครามเซ้กเพ็ก

   ดังนั้น จากการบริหารง่อก๊กของซุนกวนนั้นที่มีทั้งแนวคิดแบบก้าวหน้าและให้อิสระแก่ขุนนางและแม่ทัพในการปฏิบัติงานของตนอย่างเต็มที่นั้นจึงถือได้ว่าซุนกวนคือผู้นำแบบเสรีนิยมอย่างแท้จริง

ติวเตอร์บูม  เขียนและค้นคว้า

อ้างอิง

- ยศไกร ส. ตันสกุล. ( 2559 ). สี่ยอดผู้นำในสามก๊ก. กรุงเทพฯ:ปันปัญญา
- บุญศักดิ์ แสงระวี. ( 2542 ). บริหารงานด้วยกลยุทธ์สามก๊ก. กรุงเทพ ฯ:สุขภาพใจ
- ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์. ( 2555 ). อ่านสามก๊กถกยอดคน. กรุงเทพ:บุ๊คสไมล์
- หลี่อันสือ. ( 2557 ). สงครามสามก๊ก 26 ยุทธวิธีสู่ชัยชนะ. กรุงเทพ ฯ:มติชน
- เสถียร จันทิมาธร. ( 2559 ) . วิถีแห่งอำนาจโจโฉ. กรุงเทพฯ:มติชน
- บุญศักดิ์ แสงระวี. ( 2547 ). ศิลปะการใช้กลยุทธ์ในสามก๊ก. กรุงเทพฯ:สุขภาพใจ
- กรรณิการ์  สาตรปรุง. ( 2541 ). ราชาธิราช สามก๊กและไซ่ฮั่นโลกทัศน์ชนชั้นนำไทย. กรุงเทพฯ:สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย,โครงการหนังสือชุด '' ประเทศเพื่อนบ้านของไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ '' มูลนิธิโครงการสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
- ทองแถม  นาถจำนง. ( 2542 ). ขุนพลสามก๊ก. กรุงเทพฯ:สุขภาพใจ
- ยศไกร ส.ตันสกุล. ( 2558 ). จดหมายเหตุสามก๊ก ตอน ยอดกุนซือจ๊กก๊ก. กรุงเทพฯ:แสงดาว



วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ศิลปะการเมืองของโจโฉในสามก๊ก


( ศิลปะการเมืองของโจโฉในสามก๊ก )

   เมื่อเราพูดถึงโจโฉในวรรณกรรมสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) ซึ่งได้แปลมาจากสำนวนของหลอก้วนจงภาพของโจโฉในวรรณกรรมนั้นค่อนข้างจะไปในทางลบบ้างเป็นจอมเผด็จการ บ้างก็ว่าโจโฉเป็นคนที่เลวร้ายเป็นอย่างมากแต่หารู้ไม่ว่าในประวัติศาสตร์จริงๆนั้นภาพเลวร้ายของโจโฉหาได้เป็นอย่างนั้นไม่แต่กลับเป็นภาพของมหาอำนาจเป็นก๊กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ปลายราชวงศ์ฮั่นและก็เป็นก๊กที่มีทรัพยากรต่างๆทั้งกำลังคนและบุคคลากรที่มากความสามารถที่มีจำนวนมากที่สุดเหนือจ๊กก๊กของตระกูลเล่าและง่อก๊กของตระกูลซุน

1. อัตชีวประวัติของโจโฉ


   โจโฉ ชื่อรองว่า เม่งเต๊ก เขาเป็นบุตรชายของโจโก๋ เกิดเมื่อปี ค.ศ.155 เมื่อวัยเยาว์โดนเรียกจากครอบครัวว่า ‘’อาหม่าน‘’
เดิมทีแล้วบิดาโจโก๋เป็นคนในสกุลแฮหัวซึ่งเป็นสกุลที่สืบทอดเชื้อสายมาจากยอดขุนพลแฮหัวอิ๋นในต้นยุคราชวงศ์ฮั่นเป็นสกุลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ดังนั้นโจโฉกับคนสกุลแฮหัวจึงเป็นยาติสนิทใกล้ชิดกัน ต่อมาขันทีใหญ่โจเต็งได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมจึงทำให้โจโฉกลายเป็นหลานชายของขันทีใหญ่ไปโดยปริยาย

   ในบั้นปลายชีวิตนั้นโจโฉมีตำแหน่งสูงสุดเมื่อมีชีวิต คือ วุยอ๋อง ในภายหลังบุตรชายของโจโฉ คือ โจผีได้ปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้และได้สถาปนาราชวงศ์วุยขึ้นแล้ว ก็ได้ถวายสมัญญานามย้อนหลังให้โจโฉผู้เป็นบิดาให้เป็น ‘’ พระเจ้าวุยบู๊เต้ ‘’

ภาพจากซีรี่ส์สามก๊กปี 1994
ซ้ายเทียหยกขวาโจโฉภาพจากซีรี่ส์สามก๊ก 2010
ภาพวาดสงครามที่เซ็กเพ็กหรืออีกชื่อหนึ่งว่าโจโฉแตกทัพเรือ

2.ไขความอัจฉริยะทางการสงครามของโจโฉ

   โจโฉได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปกครองและนักบริหารที่เก่งกาจและในอีกมุมที่เป็นมุมของนักวางแผนการรบแล้วโจโฉก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านักการสงครามในยุคเดียวกันเลยอีกทั้งยังมีความเจนจัดในตำราพิชัยสงครามเป็นอย่างมากในประเด็นนี้ผู้เขียนจะยกเหตุการณ์ในการทำสงครามที่นำมาซึ่งความเป็นมหาอำนาจของโจโฉในเวลาต่อมาว่ามีเหตุการณ์ใดบ้างที่ทำให้โจโฉกลายเป็นก๊กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สามก๊กและโจโฉได้ใช้คมพิชัยสงคราวด้านใดในการทำศึกเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

( ศึกกัวต๋อจุดพลิกผันของโจโฉ )

   ในครั้งหนึ่งที่โจโฉได้ทำศึกกับอ้วนเสี้ยวนั้นเป็นในช่วงที่โจโฉจะกลืนก็ฌไม่ได้จะคลายก็ไม่ออกเพราะเนื่องด้วยทั้งกำลังพลและทรัพยากรของทัพโจโฉนั้นล้วนเป็นรองกองทัพของอ้วนเสี้ยวเป็นอย่างมากจากปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้โจโฉลังเลใจที่จะทำศึกยืดเยื้อต่อไปกับอ้วนเสี้ยวดีหรือไม่เพราะการทำศึกยืดเยื้อกับกองทัพที่มีเสบียงมากกว่านั้นย่อมที่จะเสียเปรียบแต่หลังจากที่โจโฉได้ส่งจดหมายไปให้ซุนฮกเพื่อขอคำชี้แนะนั้นซึ่งฮกให้โจโฉให้ตั้งมั่นและรอคอยโอกาสซึ่งมีข้อความ ดังนี้ ‘’ ซุนฮกตอบกลับมาว่า ‘’ให้รอโอกาสข้าศึกเกิดการเปลี่ยนแปลง ‘’ เขาเขียนมาว่า ‘’ ที่ปรึกษามาว่าจะถอยดีหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวสะสมกำลังอยู่ที่กัวต๋อ จะรบเอาแพ้ชนะกับท่าน ท่านใช้ทหารน้อยประจัญหน้ากับทหารมาก ถ้าหากควบคุมไว้ไม่ได้ ข้าศึกก็จะฉวยโอกาส เพราะเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา ทหารของอ้วนเสี้ยวแม้จะมาก แต่ใช้ไม่ได้อาศัยสติปัญญาความสามารถของท่าน จะบ่ายหน้าไปทางใดทางนั้นก็จะราบเป็นหน้ากลอง บัดนี้แม้ทหารจะมีน้อยตัวก็จริง ควรยึดพื้นที่ไว้อย่างมั่นคง เสมือนค้ำคอข้าศึกไว้มิให้รุดหน้าเข้ามาได้ เมื่อสถานการณ์หวดเข้า ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลานั้นก็เป็นเวลาที่จะทำการรบด้วยความพิสดาร จะปล่อยโอกาสให้ผ่านไปมิได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านเป็นที่ตั้ง ‘’

   จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นจริงๆเพราะเขาฮิวได้ย้ายข้างจากอ้วนเสี้ยวมาอยู่กับโจโฉและได้บอกความลับในที่ตั้งเสบียงของทัพอ้วนเสี้ยวให้แก่โจโฉและจากเหตุการณ์นี้นี่เองจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้กองทัพของโจโฉนั้นมีความได้เปรียบกองทัพของอ้วนเสี้ยวขึ้นมาทันทีต้องอย่าลืมว่าหัวใจของการทำสงครามนั้นจะขึ้นอยู่กับเสบียงเพราะถ้ากองทัพไหนไม่มีเสบียงหรือถูกเผาจนสิ้นกองทัพนั้นจะอดตายและทำให้ทหารในกองทัพเสียขวัญในการออกรบทันทีและจากเหตุการณ์ในครั้งนี้กองทัพของอ้วนเสี้ยวจึงถูกตีแตกได้ง่ายและถูกตีกลับไปยังโฮปักจากชัยชนะของโจโฉในศึกกัวต๋อในครั้งนี้จึงทำให้โจโฉขยายอำนาจทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นในทางเหนือและจากการมีทั้งกองทัพที่เข้มแข็งและความเฉลียวฉลาดในการทำสงครามของโจโฉนั้นในท้ายที่สุดโจโฉก็สามารถกวาดล้างตระกูลอ้วนได้ในที่สุดและสามารถเป็นใหญ่ในดินแดนภาคกลางและภาคเหนือได้และก็ได้กลายเป็นวุยก๊กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ในเวลาต่อมาก่อนศึกที่ผาแดงจะอุบัติขึ้นในเวลาต่อมา

3. คมการเมืองของโจโฉ

   โจโฉนอกจากจะเป้นนักการทหารที่เจนจัดในพิชัยสงครามแล้วคมทางการเมืองของโจโฉก็ไม่ได้ด้อยเลยซึ่งจะขอยกเหตุการณ์ในหลายๆเหตุการณ์มาอธิบายถึงความมีศิลปะทางการเมืองของโจโฉมาให้ศึกษากันครับ

3.1 โจโฉยืมดาบฆ่าตั๋งโต๊ะ

   ต้องขอกล่าวก่อนว่าเหตุการณ์ที่โจโฉยืมดาบสั้นจากอ้องอุ้นมาฆ่าตั๋งโต๊ะนั้นเป็นเพียงวรรณกรรมที่ถูกแต่งขึ้นโดยหลอก้วนจงซึ่งในวรรณกรรมสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง( หน ) ก็ได้แปลจากจากต้นฉบับของหลอก้วนจงแต่จากการแต่งเติมนี้จึงทำให้วรรณกรรมสามก๊กมีสีสันและน่าติดตามอีกทั้งการแต่งเติมนี้จึงทำให้โจโฉกลายเป็นบุคคลที่สามารถพลิกแพลงตามโอกาส เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนจากตายให้กลายเป็นรอดตายได้

3.2 อยากเป็นใหญ่ต้องอย่าถือแค้นเก่า

   ในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นในช่วงที่โจฉกำลังรวบรวมกองทัพใหม่ๆและต้องการคนเก่งที่มีความสามารถโดยไม่ได้สนใจว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลวขอเพียงให้สามารถทำงานที่มอบหมายให้ดีที่สุดก็พอซึ่งการบริหารงานแบบนี้ก็เหมือนกับคำที่ว่า ‘’ ไม่สนใจว่าจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำขอให้จับหนูได้ก็พอ ‘’ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็จะมี 3 เหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นหลักคิดในการบริหารและคมทางการเมืองของโจโฉได้ว่าโจโฉ คือ นักบริหารที่มีความใจกว้างและการเปิดรับคนเก่งมีความสามารถอย่างแท้จริง 

3.2.1 โจโฉรับเตียวสิ้ว

   เตียวสิ้วได้ทำการฆ่าโจงั่งลูกชายคนโตของโจโฉและโจอันบิ๋นหลานชายและรวมไปถึงเตียนอุยยอดขุนพลทหารเสือของโจโฉตายในการรบที่อ้วนเซียจากเหตุการณ์ครั้งนั้นในช่วงเวลาที่เตียวสิ้วไปอ่อนน้อมกับโจโฉ โจโฉก็ไม่ถือโทษโกรธเคือง ในเรื่องเก่าๆอีกทั้งโจโฉยังตั้งให้เตียวสิ้วเป็นขุนพลหยางอู อีกด้วย 


( ประวัติของเตียวสิ้ว )

   เตียวสิ้ว เป็นชาวเมืองจู่ลี้ มณฑลกานซุ มีชื่อรองว่า อู่อุย เป็นหลานของเตียวเจ เป็นคนเข็มเเข็งในการศึกสงคราม มีจิตใจเอ็นดูต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเตียวเจถึงแก่กรรมแล้ว เตียวสิ้วเป็นผู้บัญชาการทหารอยู่เมืองอ้วนเซีย มีการเซี่ยงเป็นที่ปรึกษา

   โจโฉเกรงว่าเตียวสิ้วจะเป็นภัยต่อตน จึงยกกำลังยี่สิบหมื่นไปโจมตี เตียวสิ้วเห็นเหลือกำลัง ก็ยอมอ่อนน้อยแต่โดยดี โจโฉยึดเมืองอ้วนเสียได้แล้ว เอานางเจ๋าซือ อาสะใภ้ของเตียวสิ้วมาเป็นเมีย เตียวสิ้วไม่พอใจ จึงคิดการปราบโจโฉ มอมเหล้าเตียนอุย ทหารเอกของโจโฉฆ่าเสีย แล้วระดมกำลังโจมตีกองทัพโจโฉเป็นการใหญ่ โจโฉก็แตกทัพกลับไป

   เมื่อระดมพลได้ใหม่แล้ว โจโฉก็ยกมาตีเตียวสิ้วอีก แต่เอาชนะไม่ได้ ต้องถอยกลับไปอีกครั้ง ต่อมาโจโฉเตรียมทัพจะไปรบเล่าปี่ที่แคว้นชีจิ๋ว เกรงเตียวสิ้วจะจู่โจมเข้าตีข้างหลังจึงให้เล่าหัวไปเจรจาของปรองดองกับ เตียวสิ้ว เตียวสิ้วกำลังเกรงอ้วนเสี้ยวจะรุกรานอยู่แล้ว ก็ตกลงเข้าร่วมมือกับโจโฉ

   โจโฉจึงตั้งให้เตียวสิ้วเป็นเอี๋ยงอู่เจียงจวิน ( นายพล ) ให้การเซี่ยงเป็นจื่อจวินอู่ ( นายทหารรักษาพระนคร ) ในการออกรบปราบอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อ ( กวนตู้ ) เตียวสิ้วมีความชอบมาก จึงได้เลื่อนยศเป็นพ้อเซียงเจียงจวิน ตายแล้วได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ติ้งโหว ( พระยา )

3.2.2 ตันหลิมผู้ที่เขียนหนังสือด่าโจโฉจนปวดหัว

   ในเหตุการณ์ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการทำสงครามจิตวิทยาระหว่างโจโฉกับอ้วนเสี้ยวที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้โดยอ้วนเสี้ยวได้ให้ตันหลิมเขียนหนังสือด่าตระกูลโจโฉแบบชนิดที่ว่าไม่เหลือชิ้นดีไปตาม 18 หัวเมืองจนโจโฉถึงกลับต้องปวดหัวในคำด่าต่างๆนานาที่ตันหลิมได้เขียนด่าจนหลังสิ้นสงครามโจโฉชนะศึกกับอ้วนเสี้ยวโจโฉก็ไม่ได้ถือโทษโกรธตันหลิมแต่กลับแต่งตั้งให้ตันหลิมมารับราชการกับโจโฉในเวลาต่อมาอีกด้วย

( ประวัติของตันหลิม )

   ตันหลิม เป็นชาวเมืองก่วนหลิง ( กองเหลง ) มณฑลเจียงซู มีฉายาว่า ข่งจาง เฉลียวฉลาด รอบรู้ เชี่ยวชาญทางอักษรศาสตร์ เขียนหนังสือไพเราะจับใจ เป็น 1 ใน 7 ของปราชญ์ยุคพระเจ้าเหี้ยนเต้

   ดำรงตำแหน่งจู่ปู้ราชสำนัก ( ตำแหน่งนี้ สามก๊กไทยแปลว่า อาลักษณ์บ้าง สมุห์บัญชีบ้าง สามก๊กอังกฤษแปลว่า Recorder เป็นตำแหน่งสุงสุดตำแหน่งหนึ่งทำหน้าที่ดูแลควบคุมเอกสารราชการทั้งมวล และจดบันทึกเหตุการณ์ของแผ่นดินด้วย ) เป็นผู้ห้ามมิให้โฮจิ๋นเรียกตั๋งโต๊ะเข้ามาปราบขันที่ทั้ง 10 เป็นผู้ห้ามมิให้โฮจิ๋นเข้าไปในวัง โฮจิ๋นไม่เชื่อจึงถูกฆ่าตาย

3.2.3 เผาจดหมายผู้แปรพักตร์

   ในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะสิ้นศึกที่กัวต๋อโดยก่อนการทำศึกขั้นเด็ดขาดนั้นกองทัพของโจโฉค่อนข้างที่จะเสียเปรียบอ้วนเสี้ยวเป็นอย่างมากจึงทำให้บรรดาเหล่าทหารของโจโฉนั้นเกรงกลัวจึงได้เขียนจดหมายไปถึงอ้วนเสี้ยวเพื่อขอสวามิภักดิ์ด้วยอ้วนเสี้ยวเป็นจำนวนมากแต่ภายหลังสิ้นสงครามชัยชนะอยู่ที่โจโฉและได้ค้นเจอจดหมายแปรพักตร์เหล่านี้โจโฉกลับไปถือโทษใดๆ เพราะเข้าใจดีว่าเหตุการณ์ความเสียเปรียบในตอนนั้นเป็นใครก็ต้องกลัวหนำซ้ำโจโฉยังไม่เปิดอ่านและเผาทิ้งจดหมายเหล่านั้นจนสิ้นอีกด้วย

   เราอาจจะสรุปได้อย่างไม่ยากนักว่าโจโฉนอกจากจะเป็นยอดนักผู้เจนจัดในพิชัยสงครามแล้วการเป็นผู้นำที่มีศิลปะทางการเมืองของโจโฉก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในยุคสามก๊กวุยก๊กของโจโฉนั้นย่อมเป็นก๊กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สามก๊กได้อย่างไม่ยากเย็น

ค้นคว้าและเขียน โดย ติวเตอร์บูม

( อ้างอิง )

ยศไกร ส.ตันสกุล. ( 2558 ). จดหมายเหตุสามก๊ก ตอน ยอดกุนซือวุยก๊ก. กรุงเทพฯ:แสงดาว

ยศไกร ส. ตันสกุล. ( 2559 ). สี่ยอดผู้นำในสามก๊ก. กรุงเทพฯ:ปันปัญญา

เสถียร จันทิมาธร. ( 2559 ) . วิถีแห่งอำนาจโจโฉ. กรุงเทพฯ:มติชน

บุญศักดิ์ แสงระวี. ( 2547 ). ศิลปะการใช้กลยุทธ์ในสามก๊ก. กรุงเทพฯ:สุขภาพใจ

http://www.thaisamkok.com/ตันหลิม/

http://www.thaisamkok.com/เตียวสิ้ว/

บทบาทของเตียวเสี้ยนในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์

( บทบาทของเตียวเสี้ยนในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ )    มีข้อกังขามากมายเกี่ยวกับเตียวเสี้ยน 1 ในยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีนที่มีบทบ...